ข้อดีของการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมยา

ปัจจุบันต้องยอมรับว่าพลาสติกมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยา เนื่องจากนิยมใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรมยาหลายชนิด ด้วยมีคุณสมบัติของพลาสติกน่าสนใจ เช่น สามารถคงคุณภาพและประสิทธิภาพของยาไว้ได้ รวมถึงมีน้ำหนักเบาง่ายต่อการขนส่ง และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ ฯลฯ จึงเป็นวัสดุที่นิยมนำมาใช้เพื่อห่อหุ้มยาในวงการแพทย์มากขึ้น ซึ่งบทความนี้ แสงรุ่งกรุ๊ป มีข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์พลาสติกมาฝาก เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ยาแน่นอน!

บรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรมยาที่ใช้ในปัจจุบันมีกี่ประเภท ?

บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในวงการยาและนิยมใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรมยามีหลายชนิดด้วยกัน โดยทุกชนิดมีคุณสมบัติเดียวกันคือต้องเก็บรักษาคุณภาพของยาให้คงที่ มีความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ใช้ยาได้รับยาที่มีประสิทธิภาพสูง และไม่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งปัจจุบันมีวัสดุหลายชนิดที่นิยมนำมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ยา ดังนี้

บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บรรจุภัณฑ์ยาที่ได้รับความนิยมกันมากที่สุด เนื่องจากสามารถใช้บรรจุยาได้หลายรูปแบบ จากคุณสมบัติของพลาสติกในด้านความยืดหยุ่นและทนทาน น้ำหนักเบา สามารถขึ้นรูปได้ตามรูปแบบของยาแต่ละชนิดได้ง่าย รวมถึงสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในวงการบรรจุภัณฑ์ยาอย่างต่อเนื่อง โดยชนิดของพลาสติกที่นิยมนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ยามี 7 ประเภทดังนี้

  1. โพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE): มีคุณสมบัติต้านความชื้นและทนแรงกระแทกได้ดี จึงมักใช้ผลิตขวด ฝา และฝาปิด
  2. โพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE): มีคุณสมบัติยืดหยุ่น ทนความชื้น และเข้ากับสารเคมี LDPE ได้ดี จึงมักผลิตเป็นขวดหยด ขวดบีบ ขวดสเปรย์ ฯลฯ
  3. โพลีโพรพีลีน (PP) : มีคุณสมบัติทนต่อสารเคมี มีลักษณะโปร่งใส นิยมใช้ผลิตขวดบรรจุ แอมพูล ฝาปิด และกระบอกฉีดยา
  4. โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET): มีคุณสมบัติทนอุณหภูมิสูง และเป็นฉนวนกั้นก๊าซและความชื้นได้ดี มักใช้ผลิตขวดบรรจุของเหลวสำหรับรับประทาน
  5. โพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) :สามารถกั้นอากาศได้ดี มักใช้ผลิตเป็นภาชนะ ถุง และห่อที่มีความยืดหยุ่น เช่น ถุงเลือด และห่อทางการแพทย์ ฯลฯ
  6. โพลีสไตรีน (PS): มีคุณสมบัติแข็งและโปร่งใส ทนต่อสารเคมีได้ดี มักใช้ใช้ผลิตขวดยา ถาด เข็มฉีดยาแบบใช้แล้วทิ้งและภาชนะสำหรับบรรจุยาที่เป็นของแข็งชนิดอื่น ๆ ฯลฯ
  7. โพลีเอทิลีน (PE): มีคุณสมบัติทนต่อสารเคมี ทนทานและมีความยืดหยุ่นสูง มักใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ขั้นต้นและขั้นรองของผลิตภัณฑ์ยา ถุง ซอง และฟิล์ม ฯลฯ

ภาชนะแก้ว

นิยมใช้บรรจุยาเหลว ชวดและหลอดแก้ว เนื่องจากมีคุณสมบัติกันน้ำได้ดีกว่าวัสดุชนิดอื่น ทำให้ผลิตยามีโอกาสปนเปื้อนได้น้อย และคุณสมบัติที่สำคัญของแก้วคือไม่ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่บรรจุไว้ภายใน โดยมีหลายประเภท แต่ประเภทที่นิยมใช้กันคือ กระจกประเภทที่ 1 (แก้วโบโรซิลิเกต) เพราะมีคุณสมบัติทนต่อแรงกระแทกจากความร้อนได้ดี อย่างไรก็ตามจุดอ่อนของแก้วคือมีความเปราะบางได้ง่าย

บรรจุภัณฑ์อะลูมิเนียมและโลหะ

วัสดุอีกชนิดที่นิยมใช้เป็นส่วนหนึ่งของบรรจุภัณฑ์ยา โดยในส่วนของอะลูมิเนียมนิยมทำเป็นฟอยด์สำหรับปิดแผงยา เพื่อทำหน้าที่ป้องกันความชื้น แสง และออกซิเจน โดยยังคงรักษาคุณภาพยาให้คงเดิม ส่วนภาชนะโลหะนิยมใช้บรรจุกลุ่มยาทาภายนอก เนื่องจากมีความทนทาน แต่มีจุดด้อยคือมีราคาสูงและมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า

บรรจุภัณฑ์ยาพลาสติกมีข้อดีอย่างไรบ้าง ?

สำหรับเหตุผลของการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ยาพลาสติกเนื่องจากพลาสติกมีจุดเด่นหลายส่วน ส่งผลดีต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคปลายทาง ทำให้เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญต่อวงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยาอย่างยิ่ง โดยมีคุณสมบัติของพลาสติกที่น่าสนใจและมีประโยชน์ในการห่อหุ้มยาดังนี้

ความปลอดภัย

คุณสมบัติของพลาสติกหลายชนิดสามารถป้องกันการซึมผ่านของอากาศ แสง ยูวี ความชื้น รวมถึงสิ่งแปลกปลอมชนิดต่าง ๆ เข้าสู่ยาได้ดี ทำให้ยาคงคุณภาพไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร เพราะพลาสติกเกรดยาจะผ่านการทดสอบเป็นพิเศษแล้วว่าไม่ทำปฏิกิริยาใด ๆ กับส่วนผสมของยา และไม่ปล่อยสารเคมีอันตรายออกมาจนเกิดการปนเปื้อน รวมถึงไม่ทำให้ยาเกิดความเสียหายหรือเกิดการแตกหัก

ราคาประหยัดและรีไซเคิลได้

พลาสติกจะมีราคาประหยัดกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแก้ว โลหะ หรืออะลูมิเนียม อีกทั้งยังสามารถสั่งผลิตในปริมาณมากและรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดต้นทุนในการผลิตยาแต่ละชนิดได้ง่าย ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมยามากกว่าวัสดุชนิดอื่น และที่สำคัญพลาสติกที่ใช้ยังสามารถนำกลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ อย่างเช่นพลาสติก PET, HDPE, PP ฯลฯ ซึ่งเป็นการลดใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยกว่า ยิ่งเพิ่มภาพลักษณ์รักษ์โลกต่อผู้ประกอบการมากขึ้น จนกระทั่งสร้างความภักดี (Loyalty Program) ในอนาคตได้ง่าย

ทนทานและแข็งแรง

เนื่องจากคุณสมบัติพลาสติกมีความทนทาน แข็งแรง และยืดหยุ่น จึงช่วยลดปัญหาความเสียหายของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการขนย้าย นอกจากนั้นยังมีอายุการใช้งานยาวนาน เนื่องจากบรรจุภัณฑ์บางชนิดถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้ระยะยาว จึงทำให้เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมยาต่อเนื่อง

น้ำหนักเบาและง่ายต่อการขนส่ง

พลาสติกเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่าแก้วหรือโลหะ ทำให้สามารถขนย้าย ขนส่ง และจัดเก็บได้จำนวนมากในครั้งเดียว เนื่องจากน้ำหนักรวมของยาและบรรจุภัณฑ์ไม่มาก อีกทั้งรูปแบบของบรรจุภัณฑ์ยาง่ายต่อการขนย้าย จึงส่งผลดีต่อการขนย้าย ขนส่งหรือจัดเก็บยาไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพราะช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งและพื้นที่ในการจัดเก็บ

มีความยืดหยุ่นต่อการผลิตในรูปแบบต่าง ๆ

คุณสมบัติพลาสติกที่น่าสนใจอีกอย่างคือมีความยืดหยุ่นสูง ส่งผลดีต่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์มีหลายขนาด หลายรูปแบบ รวมถึงง่ายต่อการใช้งานง่ายขึ้น จนสามารถรองรับยาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาน้ำ ยาครีม ยาเจล หรือยาพ่น ฯลฯ ที่สำคัญยังสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างแบรนด์ เพราะพลาสติกสามารถพิมพ์ฉลาก โลโก้ของแบรนด์ และสีสันได้อย่างสวยงาม สร้างภาพจำที่ดีต่อแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว

บรรจุภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมยามีมาตรฐานอะไรบ้างต้องรู้? พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

การนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกมาบรรจุยามีความเข้มงวดสูงมาก เพื่อความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และความบริสุทธิ์ของยาคงที่ ดังนั้นจึงต้องมีข้อกำหนดและมาตรการต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องทราบ และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดดังนี้

มอก.531-255

มอก.531-2558 คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะพลาสติกสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์เภสัชปราศจากเชื้อ ประกาศใช้เป็นทางการเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นมา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ชนิดของพลาสติก

พลาสติกที่จะใช้ในอุตสาหกรรมยามีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้

  • พอลิเอทิลีน
  • พิลิโพรพิลีน
  • พอลิไวนิลคลอไรด์
  • พลาสติกหลายชั้น ซึ่งต้องไม่มีพอลิไวนิลคลอไรด์เป็นส่วนประกอบ

วัสดุ

  • กรณีภาชนะพลาสติกชนิดหลายชั้น ให้ทดสอบชนิดเฉพาะชั้นที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์เท่านั้น
  • การทดสอบชนิดของภาชนะพลาสติกให้ใช้เครื่องฟูเรียทรายนส์ฟอร์มอินฟราเรดสเปกโทรมิเตอร์ หรือเครื่องมืออื่นที่เทียบเท่า
  • กรณีภาชนะพลาสติกชนิดพอลิไวนิลคลอไรด์ มีรายละเอียดดังนี้
  • ต้องประกอบด้วยพอลิไวนิลคลอไรด์เรซินไม่น้อยกว่า 55%
  • มีปริมาณได ((2-เอทิลเฮกซิล)แทเลต (DEHP)) ไม่เกิน 40%
  • มีปริมาณไวนิลคลอไรด์โมโนเจอร์ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

คุณลักษณะของวัสดุ

ลักษณะทั่วไป

  • ไม่มีสี โปร่งแสง และมองเห็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุภายในได้อย่างชัดเจน
  • พื้นผิวภายในและภายนอกจะต้องสะอาด เรียบ ยกเว้นตะเข็บที่เกิดจากแบบ รวมถึงจะต้องไม่มีตำหนิซึ่งอาจจะมีผลเสียต่อการนำไปใช้งานจริง

คุณลักษณะทางเคมี ฟิสิกส์และชีวภาพ

  • ไม่มีรูรั่วทุกส่วนของบรรจุภัณฑ์ยา
  • ปริมาณกากที่เหลือจากการเผาจะต้องไม่เกินร้อยละ 0.10
  • ระดับความเป็นกรด-ด่าง เมื่อเทียบกับแบลงก์ไม่เกิน 1.5%
  • มีความทนทานต่อแรงกระแทก ความดัน และต้องมีความยืดหยุ่น
  • ความจุเต็มภาชนะมากกว่าความจุระบุร้อยละปริมาตรไม่น้อยกว่า 5%
  • การซึมผ่านของไอน้ำ น้ำหนักของน้ำที่หายไปจะต้องไม่เกินร้อยละ 0.20
  • มีความหนาสม่ำเสมอ และความต่างของค่าสูงสุดกับค่าต่ำสุดไม่เกิน 0.05 มิลลิเมตร
  • ด้านความปลอดภัยจากสารละลายที่สกัดได้จะต้องใส ไม่มีสี ฟองที่เกิดขึ้นจะต้องหายไปในภายใน 3 นาที
  • ต้องไม่เป็นพิษต่อเซลล์เนื้อเยื่อ ไม่มีสารไพไรเจนเกินกว่า 20 กรัม ต้องไม่มีการซึมผ่านของจุลินทรีย์ และไม่ทำลายเม็ดเลือด

เครื่องหมายและฉลาก

ต้องมีข้อมูลรายละเอียดบรรจุภัณฑ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ชัดเจน เช่น ชนิดของพลาสติก ความจุ ชื่อผู้ผลิต และเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน ฯลฯ

GMP (Good Manufacturing Practice)

หลักเกณฑ์วิธีการผลิตที่ดี เป็นเกณฑ์หรือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการผลิตและควบคุมเพื่อให้ผู้ปฏิบัติตาม ตั้งแต่ขั้นตอนการหาวัตถุดิบการผลิต การบรรจุ ไปจนถึงการจัดเก็บและจัดจำหน่าย โดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจนคือจะต้องได้ผลิตภัณฑ์ยาและบรรจุภัณฑ์ยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และตรงตามข้อกำหนดทุกอย่าง โดยมีข้อกำหนดดังนี้

  • สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตได้
  • กระบวนการผลิต จะต้องมีความสะอาดได้มาตรฐานอุตสาหกรรม คือมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด
  • การเลือกใช้วัสดุจะต้องเป็นวัสดุเกรดยาเท่านั้น โดยวัสดุไม่ทำปฏิกิริยากับยา ไม่ปล่อยสารที่เป็นอันตราย และมีความคงตัว
  • การควบคุมคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ยาจะต้องผ่านการทดสอบและตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน และต้องได้รับ มอก.655 เกี่ยวกับภาชนะและเครื่องใช้พลาสติก

ยกตัวอย่างบริษัทผลิตพลาสติกที่ได้มาตรฐานในการผลิตบรรจุภัณฑ์

“บริษัท แสงรุ่งกรุ๊ป จำกัด” เปิดให้บริการด้านการผลิตภาชนะและบรรจุภัณฑ์พลาสติกหลายชนิดมายาวนาน ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ด้วยการรับรองจาก มอก.655 ซึ่งการันตีบรรจุภัณฑ์ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารมาถึง 7 ชนิดด้วยกัน ที่สำคัญเป็นการดำเนินการทุกขั้นตอนในกระบวนการผลิตเน้นถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลักสำคัญ จึงมั่นใจถึงความปลอดภัยในการนำไปใช้สำหรับบรรจุยา นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์จากบริษัทฯ ทุกชิ้นมีได้มาตรฐานและมีคุณภาพสูง มีความหลากหลายของรูปแบบ และมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะให้คำแนะนำต่อลูกค้า เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

สรุป: เลือกใช้บรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรมยากลุ่มพลาสติกให้เป็น เพื่อความปลอดภัยและโอกาสในทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

ความนิยมใช้พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรมยาสูงขึ้นต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีคนส่วนหนึ่งกังวลเรื่องของพลาสติกที่นำมาใช้บรรจุยารักษาโรคชนิดต่าง ๆ ว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวหรือเปล่า แต่ในความจริงพลาสติกที่นำมาใช้ห่อหุ้มยาหรือบรรจุยา ล้วนแต่เป็นพลาสติกที่มีคุณภาพสูง และผ่านการทดสอบแล้วว่ามีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และที่สำคัญคุณสมบัติของพลาสติกมีข้อดีมากมาย ที่ทำให้เพิ่มความสะดวกสบายต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำหนักที่เบาทำให้ขนย้ายสะดวก มีความยืดหยุ่นสูงไม่แตกหักได้ง่าย รวมถึงส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเรื่องของการลดต้นทุน ที่จะทำให้สามารถจำกัดค่าใช้จ่ายได้ง่าย อีกทั้งยังกำหนดรูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ยาได้ว่าต้องการแบบไหน ซึ่งทั้งหมดยิ่งเพิ่มโอกาสให้แบรนด์เติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

error: Content is protected !!