ทิศทางของเทรนด์บรรจุภัณฑ์พลาสติก 2025 กำลังเป็นประเด็นน่าสนใจ และกำลังถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของแบรนด์ เนื่องจากเทรนด์ในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของบรรจุภัณฑ์เกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลต่อโอกาสทางการตลาดต่อธุรกิจโดยตรง ซึ่งจุดขายของแพคเกจจิ้งมาแรงในปี 2025 คือการเน้นพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เจ้าของแบรนด์จำเป็นต้องศึกษาและอัปเดตให้ทันเทรนด์มากที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์เอง รวมถึงมีส่วนร่วมต่อดูแลสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ยาวนานขึ้น ป ส่วนแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2025 จะเป็นไปในทิศทางไหนบ้าง วันนี้ “แสงรุ่งกรุ๊ป” มีคำตอบแน่นอน !
บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีความสำคัญอย่างไร มีกี่ประเภท
เมื่อเทรนด์บรรจุภัณฑ์พลาสติก 2025 เป็นกุญแจสำคัญต่อธุรกิจที่เจ้าของแบรนด์ต้องทำความเข้าใจ ศึกษาและอัปเดตอย่างรวดเร็ว เพราะอย่าลืมว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันเกือบทุกด้าน ทั้งการใช้ใส่สิ่งของ การบรรจุอาหาร หรือการใช้เป็นฉนวนต่าง ๆ ฯลฯ เนื่องจากพลาสติกมีคุณสมบัติที่หลากหลายเช่น ยืดหยุ่น แข็งแรง และมีราคาเริ่มต้นไม่สูง จึงได้รับความนิยมในการใช้งานหลากหลายอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันพลาสติกมีหลายประเภทให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม เช่น
Polyethylene Terephthalate (PET, PETE, Polyester)
เป็นกลุ่มพลาสติกที่มีเนื้อใส แข็งแรง น้ำหนักเบา ทนต่อการกัดกร่อน ป้องกันก๊าซและความชื้นได้ดี นิยมใช้เป็นบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหาร นอกจากนั้นยังสามารถนำกลับมารีไซเคิลหรือแปรรูปแบบอื่น ๆ ได้ เช่น ขวดน้ำเปล่า ขวดน้ำอัดลม บรรจุภัณฑ์ขนม และ บรรจุภัณฑ์ฟู้ดเกรด เป็นต้น
High-Density Polyethylene (HDPE)
กลุ่มพลาสติกที่มีความหนาแน่นสูง แข็งแรง ทนทาน ป้องกันสารเคมีและความชื้นได้ดี และยังทนต่อแรงดึงได้ดีอีกด้วย ซึ่งสามารถนำมารีไซเคิลหรือแปรรูปเป็นรูปแบบใหม่ได้ โดยนิยมใช้ทำเป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร อุปกรณ์คลุมสินค้า ขวด ท่อ และแผ่นไม้พลาสติกรีไซเคิล
Polyvinyl Chloride (PVC, Vinyl)
กลุ่มพลาสติกอเนกประสงค์ มีคุณสมบัติแข็งแรง ยืดหยุ่น ทนทานต่อการเสื่อมสภาพได้ดีทั้งกายภาพและเคมี สามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่ไม่นิยมนำมารีไซเคิล จึงนิยมใช้เพื่อทำท่อน้ำ ท่อหรือสายที่ใช้ในการแพทย์ แร็ปห่ออาหาร เป็นต้น
Low-Density Polyethylene (LDPE)
กลุ่มมีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง ป้องกันความชื้นได้ดี น้ำหนักเบา สามารถนำมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์หลายรูปแบบ และสามารถนำไปรีไซเคิลได้เช่นกัน โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพลาสติกกลุ่มนี้คือ ถุงพลาสติก ภาชนะใส่อาหาร ถุงขยะ หรือบางครั้งนำมาทำเป็นกระเบื้องได้ ฯลฯ
Polypropylene (PP)
กลุ่มพลาสติกกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเหนียว ยืดหยุ่นสูง และทนความร้อนได้ดี สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านการรีไซเคิลได้ อีกทั้งยังสามารถแปรรูปเป็นรูปแบบอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น ฝาขวด หลอด ภาชนะเก็บอาหาร สายเคเบิลแบตเตอรี่ ไฟสัญญาณต่าง ๆ และถ้วยโยเกิร์ต ฯลฯ
Polystyrene (PS or Styrofoam)
น้ำหนักเบา จุดหลอมเหลวต่ำ มีคุณสมบัติเป็นฉนวน ไม่เหมาะต่อการนำมารีไซเคิล โดยนิยมใช้เป็นแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง ภาชนะบรรจุอาหาร โฟมกันกระแทก หรือวัสดุฉนวนต่าง ๆ ฯลฯ
ไบโอพลาสติก
บรรจุภัณฑ์พลาสติกทางเลือกที่มีความยั่งยืนมากกว่า เนื่องจากทำจากวัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก จึงมีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงมากกว่าพลาสติกชนิดอื่น ๆ เพราะสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่แตกตัวออกเป็นสารพิษลงสู่แม่น้ำ พื้นดินหรืออากาศ ง่ายต่อการนำไปรีไซเคิล โดยมักจะใช้เป็น ถุงพลาสติก ถ้วยหรือถาด ฟิล์ม สารเคลือบกระดาษสำหรับห่ออาหาร แคปซูล แรปห่ออาหาร รวมถึงบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น ฯลฯ
5 แนวโน้มบรรจุภัณฑ์น่าจับตา 2025 มีอะไรบ้าง
เมื่อโลกของเรากำลังต่อสู้กับปัญหามลพิษ และขยะล้นทะลักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่มองว่ามีความยั่งยืนมากกว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรจุภัณฑ์กลุ่มพลาสติก ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ หันมาเลือกใช้ “บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก” มากขึ้น เพราะบรรจุภัณฑ์เปรียบเหมือนหน้าตาของแบรนด์ มีผลต่อภาพลักษณ์และเป็นที่จดจำของผู้บริโภค นำมาซึ่งความภักดี (Loyaty) ตามมาในที่สุด ดังนั้นเพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีทางการตลาด เจ้าของแบรนด์จะต้องปรับตัวและทำความเข้าใจ 5 แนวโน้มบรรจุภัณฑ์พลาสติกน่าใช้ในปี 2025 มีดังนี้
แนวโน้มที่1: บรรจุภัณฑ์เน้นความยั่งยืน
บรรจุภัณฑ์เน้นความยั่งยืนหมายถึง บรรจุภัณฑ์กลุ่มพลาสติกให้ความสำคัญต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเรื่องปริมาณขยะ รวมถึงลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบสิ้นเปลือง รวมถึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคด้วย โดยเน้นวัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติเพราะสามารถ
ย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ หรือสามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งถือว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เน้นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น
1.พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) : มักทำมาจาก ข้าวโพด มันสำปะหลัง ข้าวสาลี อ้อย ซึ่งสามารถนำมาใช้ทำเป็นถุงพลาสติก ขวด เม็ดโฟมกันกระแทก รวมถึงบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง เป็นต้น
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้พลาสติกชีวิภาพ (Bioplastic) เช่น ร้าน Black Canyon Coffee, ร้าน Cafe Amazon ฯลฯ ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกด้วยพลาสติกที่ย่อยสลายได้ โดยเน้นความยั่งยืน เนื่องจากพลาสติกมีคุณสมบัติ เหนียว ทน และยังย่อยสลายได้ จากการนำวัสดุธรรมชาติเป็นวัสดุหลักในการผลิต อย่างเช่น มันสำปะหลัง เป็นต้น ทำให้มีคุณสมบัติสามารถย่อยสลายได้เองภายในระยะเวลา 5 ปี โดยไม่ทิ้งปัญหาไมโครพลาสติกสู่ระบบนิเวศ นอกจากนั้นยังสามารถนำกลับมารียูส หรือรีไซเคิลได้ผ่านกระบวนการซักล้าง และทำให้แห้ง จากนั้นจึงนำไปหลอมใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่แบรนด์ได้รับจากการเลือกใช้พลาสติกกลุ่มนี้คือ ได้รับคำชม ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจ รวมถึงรู้สึกได้ถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพราะย่อยสลายได้เอง และที่สำคัญสามารถนำกลับไปรีไซเคิลใหม่เพื่อใช้ใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งเหมาะกับการช่วยรณรงค์แผนลดปัญหาไมโครพลาสติกได้จริง และระยะยาว
2. บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Reusable)
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่ม เช่น แก้วน้ำ หรือกล่องอาหารที่สามารถล้างและนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง โดยไม่ต้องผลิตใหม่ทุกครั้ง ช่วยลดการสร้างขยะจากบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-use Packaging) และยังสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น แบรนด์ Starbucks ที่ส่งเสริมให้ลูกค้านำแก้วของตัวเองมาใช้แทนแก้วกระดาษ หรือการขายกล่องข้าวพับได้สำหรับลูกค้าที่สั่งกลับบ้าน
3. การรีไซเคิล (Recycle)
บรรจุภัณฑ์บางชนิดไม่สามารถย่อยสลายได้เอง แต่สามารถเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเพื่อนำไปใช้ใหม่ได้ เช่น การแยกพลาสติก PET จากขวดน้ำดื่มเพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า หรือแม้แต่บรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Unilever และ P&G ที่มีแผนรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ทุกชิ้นให้ได้ภายในปี 2030 เพื่อเปลี่ยน “ขยะ” ให้กลายเป็น “วัตถุดิบใหม่” และลดการพึ่งพาทรัพยากรใหม่จากธรรมชาติอย่างยั่งยืน
แนวโน้มที่ 2 :บรรจุภัณฑ์เน้นความหรูหรา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความหรูหราเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการสร้าง Customer Experience (CX) รวมถึงเพิ่มความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์ และช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ดูพรีเมียมมากขึ้น ทำให้การเพิ่มความโดดเด่นแพคเกจจิ้งที่มาพร้อมความหรูหรา ทั้งการออกแบบ รูปทรง การเพิ่มผิวสัมผัสให้มีความพิเศษ และมีรายละเอียดชัดเจน เช่น ปั๊มนูน สีสันสะดุดตาดู Luxury และการเพิ่มลูกเล่นด้วยผ้ากำมะหยี่ จะช่วยเพิ่มมูลค่าและน่าจดจำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Bath & Body Works โดยมีแพ็คเก็จใสแต่มีรูปแบบของฉลากดูมีระดับ และมีลูกเล่นด้วยตัวอักษร สีสันของฉลากดูเด่น รูปแบบของขวดผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยเน้นความมีระดับ ทั้งนี้ขวดผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก PET ซึ่งมีข้อดีในการเป็นส่วนหนึ่งคือสามารถรีไซเคิลได้ โดยการนำไปหลอมด้วยความร้อนสูงผ่านบริษัทต่าง ๆ ที่รับซื้อพลาสติก ทำให้สามารถนำมากลับมาใช้เป็นขวดแบบต่าง ๆ ได้อีกครั้ง หรือนำไปสู่ผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋า เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มองเห็นปัญหาความสำคัญของการลดปริมาณขยะพลาสติก ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในเวลานี้ ซึ่งผลจากการนำขวดผลิตภัณฑ์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล คือ ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับแบรนด์คือ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมรักษ์โลก ลดปัญหาขยะพลาสติกไปในตัว
แนวโน้มที่ 3 :มีเอกลักษณ์ของแบรนด์ชัดเจน
เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกกำลังมาแรงคือการใส่เอกลักษณ์ของแบรนด์ลงไปให้มากที่สุด เพื่อสะท้อนตัวตนของแบรนด์อย่างชัดเจน เป็นที่จดจำได้ง่ายของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นความสวยงาม ใส่กิมมิค โลโก้ สีสัน รูปทรง รวมถึงวัสดุของบรรจุภัณฑ์ สามารถดึงดูดใจ มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์เป็นที่น่าจดจำต่อผู้บริโภคภายในระยะเวลาอันสั้น
ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ Apple โดยเน้นความเรียบง่าย มินิมอล แต่สะท้อนถึงความหรูหรา เน้นกล่องขนาดเล็กสีพื้นเช่น สีขาวหรือสีดำ ฯลฯ และใช้วัสดุจากธรมชาติ รวมถึงวัสดุรีไซเคิลมาเป็นส่วนหนึ่งของแพคเกจจิ้ง เพิ่มความรู้สึกที่ดี และความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า พร้อมความรู้สึกตื่นเต้นและจดจำถึงแบรนด์ได้ง่าย ซึ่งการเลือกใช้แพคเกจจิ้งของ Apple ด้วยรูปแบบเรียบหรู ไม่ได้บ่งบอกเพียงแค่ถึงเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ จากการให้ความสำคัญต่อปัญหาพลาสติก และขยะที่เกิดใหม่อย่างมาก เพราะส่วนต่าง ๆ ของแพคเกจจิ้งสามารถกลับไปรีไซเคิลใหม่ และบางส่วนยังสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับคำชมจากกลุ่มลูกค้าว่า เป็นแบรนด์ระดับ Hi-End ที่มีส่วนช่วยลดขยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะกลุ่มพลาสติก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตัดสินใจเลือกซื้อ
แนวโน้มที่ 4 : บรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
แนวโน้มการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปี 2025 ไม่ได้มีแค่เน้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่บรรจุภัณฑ์ต้องตอบโจทย์การใช้งาน แต่ยังคงมีความทนทานสามารถปกป้องผลิตภัณฑ์ได้ รวมถึงต้องมีส่วนช่วยในการสื่อสารกับผู้บริโภคได้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงต่อแบรนด์ และเพิ่มแนวโน้มในการกลับมาซื้อซ้ำในอนาคตสูงขึ้น เช่น
- บรรจุภัณฑ์สั่งผลิตตามที่แบรนด์กำหนดเอง: เจ้าของแบรนด์จะสั่งผลิตกับบริษัทผลิตพลาสติกทั่วไป เพื่อให้มีสี รูปแบบ และวัสดุตามที่ต้องการ และสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย เช่นบริษัท แสงรุ่งกรุ๊ป จำกัด เป็นต้น
- บรรจุภัณฑ์ใช้งานสะดวก: เน้นการเปิด แกะ เพื่อใช้งานสะดวก ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อื่นมาช่วย เช่น ขวดน้ำอัดลมฝาเกลียว หรือบรรจุภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปที่เปิดได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้กรรไกร ฯลฯ
- บรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองด้านขนาดและปริมาณ
ผู้บริโภคยุคใหม่มองหาตัวเลือกที่ “พอดี” กับความต้องการของตัวเอง ทั้งแบบทดลองใช้ (Trial size), แบบพกพา (Portable), หรือแบบขนาดใหญ่สำหรับครอบครัว การมีหลายขนาดให้เลือก ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น
เช่น แบรนด์เครื่องสำอางที่ออกแบบ “ครีมซอง” ราคาย่อมเยาเหมาะสำหรับผู้ที่อยากทดลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อไซซ์ใหญ่ หรือแบรนด์อาหารที่มีไซซ์แบ่งพกพาเหมาะกับไลฟ์สไตล์เร่งรีบของคนเมือง - บรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงคุณค่าและเรื่องราวของแบรนด์
บรรจุภัณฑ์ไม่ใช่แค่ห่อหุ้มสินค้าอีกต่อไป แต่คือ “สื่อกลาง” ที่ถ่ายทอดจุดยืนของแบรนด์ เช่น แนวคิดเรื่องความยั่งยืน ความใส่ใจสุขภาพ หรือการสนับสนุนชุมชน
แบรนด์จำนวนมากเลือกพิมพ์ข้อความสร้างแรงบันดาลใจ สตอรี่เบื้องหลัง หรือใส่ QR Code ให้ลูกค้าสแกนอ่านเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ เช่น แหล่งวัตถุดิบ การผลิตที่โปร่งใส หรือผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึก “อิน” และเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ลึกขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ขวดน้ำอัดลมแบรนด์ เป๊ปซี่ โดยมีรูปร่างของขวดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ได้ง่าย นอกจากนั้นทาง เป๊ปซี่ เลือกใช้วัสดุผลิตภัณฑ์เป็น rPet ซึ่งมาจากวัสดุที่รีไซเคิล 100% ผ่านกระบวนการทำความสะอาด และหลอมใหม่จนเป็นพลาสติกคุณภาพดี จากโรงงานที่ได้รับรองมาตรฐานการรีไซเคิล จนได้ขวดรูปแบบต่าง ๆ สามารถใช้บรรจุอาหารและเครื่องดื่มได้ ส่งผลให้ลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดใหม่ไปในตัว ทั้งนี้สิ่งที่บริษัท เป็ปซี่ ได้ตัดสินใจใช้ขวดจากพลาสติก rPet หมายถึงแบรนด์ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของลูกค้า พร้อมทั้งมองเห็นปัญหาขยะพลาสติกที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของทุกคนอย่างจริงจัง และผลที่ได้จากการเลือกใช้พลาสติกชนิดนี้คือ แบรนด์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเพิ่มความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมและมองเห็นถึงความสำคัญต่อสุขภาพมากขึ้น จนกล้าที่จะเลือกสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มองเห็นคุณค่าของความยั่งยืนมากขึ้น
แนวโน้มที่ 5 :บรรจุภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มบทบาทมากขึ้น
นอกจากจะต้องมีบรรจุภัณฑ์ที่สะดุดตา มีเอกลักษณ์แล้ว การออกแบบบรรจุภัณฑ์พร้อมด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัย เพิ่มความน่าสนใจ ความมั่นใจต่อความปลอดภัย อีกทั้งอำนวยความสะดวกสบายต่อผู้บริโภคในการดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ยิ่งเพิ่มแต้มต่อทางการตลาดของแบรนด์มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเทคโนโลยีที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ
QR Code:
การนำ QR Code มาใช้ช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับทราบถึงข้อมูลต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์ได้ง่าย ในขณะที่เจ้าของแบรนด์สามารถลดต้นทุนการผลิตฉลากสินค้าหรือแพคเกจไปในตัว เพราะลดปัญหาการใช้พลาสติกเพื่อทำเป็นฉลาก หรือข้อความบนบรรจุภัณฑ์จำนวนมาก อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกให้กลุ่มลูกค้า เพียงแค่สแกนผ่านสมาร์ตโฟนเท่านั้น
Augmented Reality (AR)
การนำ AR มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี มีความหมายต่อผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสนุก ทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ทั้งขนาด สีสัน ผ่าน AR จึงนำไปสู่การมีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านบรรจุภัณฑ์ และนำไปสู่การตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ง่ายขึ้น
Smart Packaging
บรรจุภัณฑ์ที่มีระบบบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภคสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้ากลุ่มที่ต้องควบคุมระดับความชื้น อุณหภูมิ รวมถึงป้องกันสารเจือปนต่าง ๆ เพราะ Smart Packaging จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางสื่อสารกับผู้บริโภคแสดงความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีด้วยกัน 2 ประเภทคือ
- Active Packaging: นวัตกรรมออกแบบมาเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และคงคุณภาพอาหารให้นานขึ้น
- Intelligent Packaging: นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถบันทึกข้อมูล ติดตาม และสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสภาพหรือคุณภาพของสินค้าตั้งแต่ขนส่งจนถึงการเก็บรักษา โดยมักจะมีเซนเซอร์หรือตัวบ่งชี้ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเห็นข้อมูลสินค้าได้
ยกตัวอย่าง เช่น วิลม่า (Wilma) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน โดยลูกค้าสามารถสแกน QR Code เพื่อดูข้อมูลต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ต้องผ่านการค้นหาใน Search Engine ต่าง ๆ เพิ่มความสะดวกสบาย และความเข้าใจต่อผลิตภัณฑ์มากขึ้น นอกจากนั้นแพ็คเก็จจิ้งของแบรนด์ยังใช้งานง่ายและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยพลาสติกที่ได้สามารถนำกลับไปรีไซเคิลใหม่เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพิ่มความมั่นใจต่อผู้ใช้ว่า เป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นและเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง s
ประโยชน์หรือข้อดีที่ได้จากการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกตามเทรนด์
การใช้บรรจุภัณฑ์ตามเทรนด์มีผลประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งเจ้าของแบรนด์ ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ดังนี้
ประโยชน์ที่เจ้าของแบรนด์ได้รับ:
- มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จากบรรจุภัณฑ์ชีวภาพหรือรีไซเคิลได้
- เสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ จนนำไปสู่การเพิ่มยอดขายและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ระยะยาว
- ผลิตภัณฑ์ดึงดูดความน่าสนใจต่อลูกค้า มีความทันสมัย พร้อมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ จนนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้สินค้า
ประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้รับ;
- มีความมั่นใจต่อผลิตภัณฑ์ทั้งคุณภาพและความปลอดภัยสูงขึ้น
- ได้ประสบการณ์ที่ดี รู้สึกได้ถึงความทันสมัย จากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีมาใช้งาน
- มีส่วนร่วมในการช่วยดูแลและลดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ประโยชน์ที่สิ่งแวดล้อมได้รับ:
- ลดการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้แบบสิ้นเปลือง
- ลดปริมาณขยะ มลพิษ เพราะมีการนำไปรีไซเคิล หรือมีการย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
- ส่งเสริมเศรษฐกิจเพราะมีการรีไซเคิล และวัสดุบางชนิดมาจากธรรมชาติ เช่น ถุงหรือขวดพลาสติกชีวภาพ ฯลฯ
กฎหมายต้องรู้ก่อนตัดสินใจใช้บรรจุภัณฑ์
อย่างไรก็ตามสำหรับเจ้าของแบรนด์นอกจากจะต้องทำความเข้าใจเทรนด์และแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ในปี 2025 แล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่เจ้าของแบรนด์ต้องทราบเช่นกันคือเรื่องของกฎหมายต่าง ๆ เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมี 4 ฉบับดังต่อไปนี้
- พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2466
- พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
- พระราชบัญญัติมาตรฐานอุตสาหกรรม พ.ศ. 2511
- พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มี 2 ส่วนคือ การขึ้นทะเบียนตำรับอาหารและการขึ้นทะเบียนฉลากอาหาร
ข้อสรุป:เทรนด์บรรจุภัณฑ์พลาสติก 2025 มีผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจสูงมาก
การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ตามเทรนด์บรรจุภัณฑ์พลาสติก 2025 โดยเฉพาะการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกกลุ่มรักษ์โลกต่าง ๆ ซึ่งย่อยสลายได้เอง หรือสามารถนำมารีไซเคิลเพื่อกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยไม่กระบทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เช่น ถุงพลาสติกชีวภาพ แก้วใช้แล้วทิ้ง หรือถุงช้อปปิ้ง เป็นต้น เป็นกุญแจสำคัญที่มีผลดีต่อความสำเร็จทางการตลาดของแบรนด์สูง เพราะแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยง่าย จากการสื่อความหมายผลิตภัณฑ์จากบรรจุภัณฑ์ นอกจากนั้นยังเพิ่มความมั่นใจถึงความปลอดภัย และความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้า เนื่องจากลูกค้ารู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากเจ้าของแบรนด์ จนนำมาซึ่งการสนับสนุน และก่อให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์อย่างยั่งยืนได้จริงในอนาคต