ในยุคปัจจุบันที่อุตสาหกรรมของการผลิตบรรจุภัณฑ์และแพคเกจขวดพลาสติกนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว วัสดุที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความหลากหลายมาก วัสดุหลักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือพลาสติก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่หลากหลาย ทั้งความยืดหยุ่นอย่างอิสระและความสามารถในการขึ้นทรงที่ง่าย โดยพลาสติกที่นิยมเลือกใช้มี 3 ชนิดหลัก ได้แก่ PE, PP และ PET ซึ่งพลาสติกแต่ละชนิดนั้นมีคุณสมบัติและการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนมารู้จักถึงข้อแตกต่างหลักระหว่าง PE, PP และ PET และนำเสนอข้อดี-ข้อเสียของแต่ละชนิดพลาสติกและวัสดุที่เหมาะสมกับแต่ละชนิดของบรรจุภัณฑ์กันดังต่อไปนี้

ทำความรู้จักพลาสติก PE, PP, PET คืออะไร
การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนหลากหลาย และใช้เม็ดพลาสติกหลากหลายประเภท เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ 3 ประเภทของพลาสติกที่นิยมใช้กัน คือ PE, PP และ PET ซึ่งแต่ละชนิด จะมีคุณสมบัติเด่นแตกต่างกันไปเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน ดังต่อไปนี้
PE (Polyethylene)
พอลิเอทิลีน (PE) หรือ พลาสติก PE เป็นประเภทของพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นและทนทานต่อความชื้นและการกระแทก ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการผลิตขวดพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำและของเหลวอื่น ๆ พลาสติก PE ไม่ได้มีความยืดหยุ่นและทนทานต่อความชื้นเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติที่ทำให้สามารถทนทานต่อการกระแทกได้ดี ซึ่งทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาวะที่หลากหลาย และเหมาะสมกับการผลิตขวดพลาสติกที่ต้องการความทนทานและความยืดหยุ่น
คุณลักษณะนี้ทำให้ PE เป็นวัสดุที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการวัสดุที่ครอบคลุมความต้องการในทั้งการผลิตและการใช้งาน พลาสติก PE ให้ความยืดหยุ่นและความทนทานที่ดีและยังสามารถปรับแต่งเพื่อให้ตรงกับความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์ขวดพลาสติกและบรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ
PP (Polypropylene)
โพลีโพรพิลีน (Polypropylene หรือ PP) เป็นชนิดของพลาสติกที่มีความหนาแน่นต่ำ และมีความแข็งแรง นิยมใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สำหรับอาหาร เนื่องจากเป็น Food Grade ซึ่งหมายถึงมีความปลอดภัยสำหรับการมาตรฐานการใช้งานในอาหารได้
คุณสมบัติของโพลีโพรพิลีน (PP) ได้แก่:
- สามารถขึ้นรูปได้ง่าย ให้รูปลักษณ์ตรงตามแบบที่ต้องการได้
- มีความแข็งแรงทนทาน ไม่หักงอง่ายเมื่อขนย้าย
- ทนต่อความร้อนได้ดี มีจุดหลอมเหลวที่อุณหภูมิ 160-170 องศาเซลเซียส
- เนื้อพลาสติกเบาและโปร่งแสง แต่ก็มีความแข็งแรงเหมือนพลาสติกชนิด HDPE
- ช่วยป้องกันความชื้นไม่ให้ทะลุผ่านบรรจุภัณฑ์เข้าถึงอาหาร
- ไม่หลอมละลายง่ายและทนทานต่อความร้อน แต่ไม่ทนต่อความเย็นมากนัก
PET (Polyethylene Terephthalate)
PET หรือ โพลิเอธิลีน เทเรพธาเลต (Polyethylene Terephthalate) เป็นชนิดของพลาสติกที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อแรงดันและความร้อน อีกทั้งยังทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะถูกเก็บรักษาในสภาพที่ดีที่สุด
เมื่อพูดถึงโพลิเอธิลีน เทเรพธาเลต (PET) สิ่งที่นึกถึงเป็นอันดับแรกคือขวดพลาสติก PET ซึ่งใช้ในการบรรจุน้ำดื่ม น้ำอัดลม และเครื่องดื่มอื่น ๆ นอกจากนี้ PET ยังใช้ในการผลิตผ้าพอลีเอสเตอร์ ฟิล์มพลาสติก และบรรจุภัณฑ์อาหารอื่น ๆ
PET มีคุณสมบัติที่ทำให้สามารถทนแรงดันสูง ทนทานต่อแรงกระแทก และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สามารถทนต่อความร้อนได้สูงถึง 70 องศาเซลเซียส ทำให้เหมาะสมสำหรับการบรรจุเครื่องดื่มที่มีความร้อนสูงและใช้ในเครื่องอบอุ่นและไมโครเวฟ
สิ่งที่สำคัญคือ PET สามารถรีไซเคิลและใช้งานใหม่ได้หลายครั้ง ทำให้มันเป็นทางเลือกที่ดีในการจัดการกับสิ่งแวดล้อม เช่นการรีไซเคิลขวดพลาสติก PET นำไปผลิตเป็นเสื้อผ้า, กระเป๋า, และผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอื่นๆ อีกด้วย
PE, PP และ PET ต่างกันอย่างไร?
PE, PP และ PET มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของสมบัติทางฟิสิกส์และการนำมาใช้งาน ซึ่งพลาสติกทั้ง 3 ประเภท มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้
- PE (Polyethylene): คือชนิดของพลาสติกที่ใช้งานมากที่สุด เนื่องจากมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและสารเคมี มักจะใช้ในการผลิตถุงพลาสติก ขวดน้ำ และท่อประปา เป็นต้น
- PP (Polypropylene): มีความทนทานต่อความร้อนได้ดีมาก จึงมักถูกใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ภาชนะอาหารที่สามารถใช้ในไมโครเวฟ นอกจากนี้ยังใช้ในการผลิตพลาสติกชนิดทนความร้อนและสารเคมี เช่น ฝาขวด ท่อ และโพลียูเรเทนที่ใช้ในโฟม
- PET (Polyethylene terephthalate): มักจะใช้ในการผลิตขวดพลาสติกสำหรับดื่ม เช่น น้ำแร่ และขวดโซดา นอกจากนี้ยังมักจะใช้ในการผลิตเสื้อผ้า และ ฟิล์มพลาสติก PET มีความปลอดภัยสูง เพราะไม่ปล่อยสารเคมี
ทั้ง 3 ชนิดของพลาสติกนี้ มีความสามารถในการทนทานต่อสภาพแวดล้อมและสารเคมีแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เพื่อใช้งานในแต่ละประเภทที่เหมาะสมตามต้องการ
ข้อดี-ข้อเสีย ของพลาสติก PE, PP และ PET เป็นอย่างไรบ้าง?
PE, PP, และ PET เป็นสารที่ใช้ในการผลิตพลาสติกที่มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดนี้ ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน เราจะมาให้คะแนนพลาสติกแต่ละชนิดดังนี้
ประเภทพลาสติก | การบรรจุอาหาร (Food Packaging) | การบรรจุสารเคมี (Chemical Packaging) | การทดสอบตกกระแทก (Drop Test) | การทนความร้อน | ความโปร่งแสง |
PE (Polyethylene) | ✰✰✰ | ✰✰✰ | ✰✰ | ✰✰ | ✰ |
PP (Polypropylene) | ✰✰✰ | ✰✰ | ✰ | ✰✰✰ | ✰✰ |
PET (Polyethylene terephthalate) | ✰✰✰ | ✰ | ✰✰✰ | ✰ | ✰✰✰ |
โดยทั่วไป การเลือกใช้พลาสติกชนิดใดชนิดหนึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานที่ต้องการ และยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานพลาสติกชนิดนั้นๆ แต่ทั้งหมดนี้เราควรระมัดระวังในการใช้งานพลาสติกและมุ่งเน้นที่การจัดการวัสดุเหล่านี้ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด
วิธีการเก็บรักษาขวดน้ำพลาสติกเพื่อรักษาคุณภาพ
การเก็บรักษาขวดน้ำพลาสติกเพื่อให้รักษาคุณภาพและความปลอดภัยของน้ำที่อยู่ภายในได้นาน สามารถทำได้โดยปฏิบัติตามขั้นตอนและแนวทางดังนี้:
- การล้างขวด: ก่อนเก็บรักษาขวดน้ำพลาสติกควรล้างขวดให้สะอาด โดยใช้น้ำสะอาดหรือน้ำประปาเพื่อล้างสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่บนผิวขวด อย่าลืมล้างฝาขวดด้วยเช่นกัน
- การเก็บในที่แห้งและเย็น: ขวดน้ำพลาสติกควรเก็บในที่แห้งและเย็น เพื่อป้องกันการสกปรกและการเจริญเติบโตของเชื้อราหรือแบคทีเรีย นอกจากนี้ การเก็บในที่เย็นยังช่วยให้น้ำภายในขวดคงความสดชื่นและรสชาติที่ดีกว่า
- การเก็บห่างจากแสงและความร้อน: พลาสติกมีความต้านทานต่ำต่อแสงและความร้อน ดังนั้นควรเก็บขวดน้ำพลาสติกในที่ที่ไม่มีแสงแดดและอุณหภูมิสูง เพื่อป้องกันการเกิดการเปลี่ยนสีหรือการหยาบกระด้างของน้ำ
- การปิดฝาให้สนิท: หากไม่ได้ใช้น้ำในขวดน้ำพลาสติกทันที ควรปิดฝาให้สนิทเพื่อป้องกันการเข้าสารเปลี่ยนสภาพจากภายนอก
- การตรวจสอบวันหมดอายุ: ขวดน้ำพลาสติกมีอายุการใช้งานจำกัด ควรตรวจสอบวันหมดอายุที่กำหนดบนภาชนะ และหากน้ำมีกลิ่นหรือรสชาติแปลกๆ ควรหยุดใช้งานและทิ้งขวดนั้น
การเก็บรักษาขวดน้ำพลาสติกอย่างถูกต้องจะช่วยให้น้ำภายในขวดคงคุณภาพและปลอดภัยต่อการบริโภค อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสภาวะการเก็บรักษา ควรตรวจสอบคำแนะนำจากผู้ผลิตขวดน้ำพลาสติกเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สรุป
การทราบข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุพลาสติกเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถทำความเข้าใจในลักษณะและการนำมาใช้งานของขวดพลาสติกที่เราใช้ในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นสัญลักษณ์การรีไซเคิลที่มีตัวเลข 1 ในขวดพลาสติก หมายความว่าขวดนั้นทำจาก PET ในขณะที่ตัวเลข 2 และ 5 หมายถึง PE และ PP ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแต่ละชนิดของพลาสติกจะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ยังมีศักยภาพในการนำมาใช้และการรีไซเคิลเพื่อประโยชน์ที่สูงสุดเมื่อเรามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะและคุณสมบัติของแต่ละชนิด และสำคัญที่สุด ในการสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม ควรคิดถึงการลด การใช้ใหม่ และการรีไซเคิล (Reduce, Reuse, Recycle) พลาสติกที่เราใช้งานในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการลดปริมาณขยะพลาสติกที่สร้างขึ้นและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
https://www.zxfa.com/faq.html
https://kapookhom.com/blog-type-plastic-pe-pp/
https://www.baanbunchupankk.com/article/5/bottle-pet-vs-pp